วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ประวัติที่มาเรื่องรามเกียรติ์ตอนศึกไมยราพ

รามเกียรติ์ตอนศึกไมยราพ

พระราม

พระลักษมณ์

           บทละครเรื่อง รามเกียรติ์ เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื้อเรื่องมาจากวรรณคดีของอินเดียเรื่อง รามายณะ อันเป็นวรรคดีที่สำคัญและมีมานานกว่า ๒๐๐๐ ปีมาแล้ว ไทยเรานำมาเล่นเป็นหนังและโขน ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ เป็น กลอนบทละคร แต่ไม่แพร่หลายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเกรงว่า เรื่อง รามเกียรติ์ จะสูญไปเสียจึงได้ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นและได้โปรดเกล้าฯ ในกวีในสมัยของพระองค์ร่วมนิพนธ์ด้วยหลายตอนรามเกียรติ์ ฉบับพระราชนิพนธ์ฉบับนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับวรรณคดีเรื่อง รามายณะ ของอินเดียแล้วก็มีที่แตกต่างกันหลายอย่าง เช่น เนื้อเรื่องบางตอน ชื่อตัวละครบางตัว เป็นต้น นอกจากนี้ในอินเดีย วรรณคดีเรื่องนี้ถือกันว่าเป็นคัมภีร์สำคัญเพราะเป็นเรื่องราว ที่แสดงให้เห็นอิทธิฤทธิ์ของ พระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ด้วยเหตุที่ไทย เรานับถือพุทธศาสนา เราจึงมิได้ยึดถือเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังนัก ดังที่กล่าวไว้ ในตอนท้ายเรื่องว่า
   
               อันพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์    ทรงเพียรตามเรื่องนิยายไสย 
          ใช่จะเป็นแก่นสารสิ่งใด                ตั้งพระทัยสมโภชบูชา 
          ใครฟังอย่าได้ไหลหลง                  จงปลงอนิจจังสังขาร์ 
          ซึ่งอักษรกลอนกล่าวลำดับมา         โดยราชปรีดาก็บริบูรณ์

          พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. ๒๒๗๙ ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระนามเดิมว่า ทองด้วง เมื่อทรงเจริญวัยได้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กในสมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร ต่อมาในรัชการพระเจ้าเอกทัศน์ได้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี  หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกู้อิสรภาพได้แล้ว ทรงรับราชการอยู่ด้วยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช  ทรงเป็นแม่ทัพสำคัญในการปราบปรามชุมนุมต่างๆ และหัวเมืองเขมร ลาว  แข็งข้อ ตลอดจนกองทัพพม่าที่ยกมาตีเชียงใหม่ และพิษณุโลกได้อย่างสามารถ  มีความดีความชอบได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นโดยลำดับจากพระราชวรินทร  พระยาอภัยรณฤทธิ์ พระยายมราช เจ้าพระยาจักรี จนถึงสมเด็จเจ้าพระยา มหากษัตริย์ศึก     ต่อมากรุงธนบุรีเกิดจลาจล สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ ประชาราษฏร์จึงได้กราบทูลอัญเชิญ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕  พระองค์ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และได้ทรงย้ายราชธานีมาอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร
          ตลอดรัชการพระองค์ต้องทรงกระทำสงครามกับพม่า ยาม สงบศึกก็ทรงบูรณะ ฟื้นฟูพระนครและพระราชอาณาจักรหลายด้าน เช่น การปกครอง เศรษฐกิจ การทหาร พระพุทธศาสนา วัฒนธรรม และศิลปกรรม และที่สำคัญยิ่งคือ ได้ทรงริเริ่มการสังคายนาพระไตรปิฏก และจารึกไว้เป็นหลักฐานอย่างครบถ้วน พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ ทั้งในการรบและการประพันธ์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง  รามเกียรติ์ ฉบับสมบูรณ์บทละครเรื่อง อิเหนา อุณรุท นิราศเรื่องรบพม่าที่ท่าดินแดง และกวี ช่วยกันแต่งวรรณกรรมต่างๆ ที่เคยมีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่ได้สูญหายไปเมื่อคราวเสียกรุง ให้แต่งขึ้นใหม่เป็นวรรณคดี สำหรับพระนคร
          พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงครองราชย์สมบัติอยู่ ๒๗ปี เสด็จสวรรคต เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๒ พระชนมายุ ๗๓ พรรษา

สังเขปเรื่องรามเกียรติ์ ก่อนถึงตอนศึกไมยราพ
          เรื่องรามเกียรติ์ เป็นเรื่องยาวมาก ต้นเค้านั้นคือ ตามความเชื่อของศาสนาฮินดู โลกของเรานี้จะมีคนพาลมาเกิดและก่อการร้ายทั่วไป แล้วพระนารายณ์ซึ่งเป็นพระเจ้าองค์หนึ่งของฮินดูก็จะอวตาร หรืออีกนัยหนึ่งลงมาเกิดในมนุษย์โลก และปราบพาล ให้มนุษย์ได้มีสันติสุขเหตุการณ์เช่นนี้ จะเกิดเป็นระยะไป
          ในเรื่อง รามเกียรติ์ พระนารายณ์ได้อวตารมาเป็นพระราม เพื่อมาปราบทศกัณฐ์ และวงศ์ญาติที่มีฤทธิ์อำนาจมาก แต่เป็นพาล
          เรื่องย่อก็คือ       พระรามได้รับโองการจากพระบิดาให้มาดำเนินชีวิตเป็นนักบวชอยู่ ในป่าก่อนที่จะรับราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบราชวงศ์ต่อไป พระลักษณ์ผู้เป็นพระอนุชา และนางสีดาผู้เป็นชายา ของพระรามก็ตามมาด้วยความภักดี ทศกัณฐ์เมื่อเห็นสีดาก็ลุ่มหลง จึงทำกลลวง ให้พระรามและพระลักษณ์ทิ้งนางสีดาไว้ ณ บรรณศาลาที่พักแต่ลำพัง แล้วทศกัณฐ์ก็ไปลักตัวนาง สีดามาไว้ในกรุงลงกา
          พระรามกับพระลักษณ์ได้รับความช่วยเหลือจากชายนครขีดขิน ซึ่งเป็นลิงที่มีฤทธิ์เดชโดยเฉพาะหนุมานเป็นลิงที่มีฤทธิ์เดชมาก และเป็นผู้ที่มีความภักดีต่อพระรามอย่างยิ่ง พระรามและพระลักษณ์ กับลิงชาวนครขีดขินได้รวมกันเป็นกองทัพใหญ่ สร้างถนนข้ามมหาสมุทรมาตั้งทัพในเกาะลงกา ซึ่งไม่เคยมีผู้ใดสามารถทำได้
          ทศกัณฐ์ได้ให้ญาติหลายตนออกรบกับพระรามต่างก็พ่ายแพ้เสียชีวิต ทศกัณฐ์จึงคิดถึงไมยราพ ซึ่งครองเมืองบาดาลว่าเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีกล้องสำหรับเป่ายาวิเศษพร้อมด้วยมนต์สำหรับสะกดให้คนหลับ จึงไปขอให้ไมยราพมาช่วยทำสงคราม
          ก่อนที่ไมยราพจะได้รับข่าวสงคราม ไมยราพฝันว่า มีดาวดวงน้อยเปล่ง รัศมีบดบังดวงจันทร์ ครั้นให้โหรทำนายฝัน โหรทูลว่าจะมีพระญาติได้ขึ้นผ่านราชสมบัติแทนพระองค์ไมยราพได้ให้โหรตรวจดวงชะตาของพระญาติ โหรพบว่าดวงชะตาของไวยวิกแสดงว่าจะได้ขึ้นสืบราชสมบัติ ไมยราพจึ้งให้จับไวยวิกกับมารดาคือนางพิรากวนไปใส่ตรุไว้
          ฝ่ายพระรามฝันอสุรินทร์ราหูจับพระอาทิตย์แล้วพาเคลื่อนไป แต่พระรามยื่นมือไปหักฉัตรในพรหมโลกได้ ส่วนพระบาทนั้นยื่นลงไปยังใต้ธรณี พิเภกซึ่งเป็นโหรของพระรามพยากรณ์ ว่าพระรามจะถูกศัตรูจับไปและภายหลังจะรอดมาได้ จะมีเกียรติยศเลื่องลือไปทั่วจนถึงพรหมโลก
          เมื่อได้ทราบเช่นนั้น กองทัพของพระรามก็จัดการอยู่ยามรักษาพระรามกันอย่างเข้มงวด หนุมานนิมิตตนให้มีกายใหญ่ และอมพลับพลาของพระรามไว้ พระลักษมณ์นั้นนั่งเป็นยามคอยเฝ้าอยู่กับแท่นที่บรรทมของพระราม
          ไมยราพได้ลอบเข้าไปใกล้กองทัพพระราม แล้วแปลงตัวเป็นลิงป่าตัวเล็กเข้าไปปะปนกับพลทหารลิงของพระราม ได้ทราบจากพลทหารว่า เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ทอแสงขึ้นมาจากขอบฟ้า พระรามก็จะพ้นเคราะห์ ไมยราพจึงเหาะขึ้นไปบนอากาศ กวัดแกว่งกล้องทิพย์ให้เกิดแสงทำให้พลทหารลิงเห็นว่าเป็นเวลาเช้าตรู่แล้ว พลลิงทั้งหลายก็หยอกเย้ากัน และพากันนอนไมยราพจึงเข้าไปใกล้พลับพลาของพระรามได้

สังเขปเรื่องรามเกียรติ์ ตอนศึกไมยราพ
          ไมยราพเจ้าเมืองบาดาล มีกล้องยาวิเศษพร้อมมนต์สะกด เมื่อเป่ายาและร่ายมนต์ก็สามารถสะกดคนให้หลับหมดได้ ไมยราพได้รับบัญชาจากทศกัณฐ์ให้มาช่วยรบกับพระรามก่อนทำศึกกับพระราม ไมยราพฝันเป็นลางว่า มีดาวดวงน้อยเปล่งรัศมีมาบดบังดวงจันทร์ โหรทำนายว่าพระญาติ(ไวยวิก)จะได้ขึ้นครองเมืองแทน ไมยราพจึงหาทางป้องกันมิให้เป็นไปตามคำทำนายโดยการจับไวยวิกและมารดาคือนางพิรากวน(พี่สาวของไมยราพ)ไปขังไว้ ฝ่ายพระรามก็ฝันว่าราหูมาบดบังพระอาทิตย์แล้วจับไปได้ พิเภกทำนายว่าพระรามจะถูกลักพาตัวไปแต่จะรอดกลับมาได้ เมื่อใดที่พระอาทิตย์ขึ้นพระรามจะพ้นเคราะห์ หนุมานจึงพยายามหาทางป้องกันโดยเนรมิตกายให้ใหญ่อมพลับพลาที่ประทับของพระรามเอาไว้ แต่ไมยราพซึ่งปลอมตัวเป็นพลทหารลิงแอบล่วงรู้ความลับนี้ จึงเหาะขึ้นไปบนอากาศกวัดแกว่งกล้องทิพย์ทำให้เกิดความสว่าง พลลิงทั้งหลายที่อยู่ยามเข้าใจว่าเป็นเวลาเช้าแล้วก็พากันละเลยต่อหน้าที่ บ้างก็นอนหลับ บ้างก็หยอกล้อกัน
ไมยราพจึงย่องเข้าไปเป่ายาสะกดไพร่พลในกองทัพของพระรามจนหลับใหลไปหมด แล้วจึงแบกพระรามพาแทรกแผ่นดินไปยังเมืองบาดาล เมื่อถึงเมืองบาดาลไมยราพสั่งให้นำพระรามไปขังไว้ในกรงเหล็ก และนำไปไว้ยังดงตาลท้ายเมืองบาดาล จัดทหารยักษ์จำนวนโกฏิหนึ่ง( ๑๐ ล้านตน)เฝ้าเอาไว้อย่างแน่นหนา และสั่งให้นางพิรากวนตักน้ำใส่กระทะใหญ่เพื่อเตรียมต้มพระรามกับไวยวิกในวันรุ่งขึ้น ทางกองทัพของพระรามเมื่อทราบว่าพระรามถูกลักพาตัวไปให้หนุมานตามไปช่วยพระรามที่เมืองบาดาล ระหว่างทางหนุมานได้พบกับด่านต่าง ๆ หลายด่าน คือ ด่านกำแพงหินที่มียักษ์รักษานับพัน ด่านช้างตกมัน ด่านภูเขากระทบกันเป็นเปลวไฟ ด่านยุงตัวโตเท่าแม่ไก่ และด่านมัจฉานุ(บุตรของหนุมานกับนางสุพรรณมัจฉา) หนุมานสามารถผ่านด่านต่างๆได้ และได้ขอให้มัจฉานุบอกทางไปยังเมืองบาดาลให้ แต่มัจฉานุนึกถึงพระคุณของไมยราพที่ชุบเลี้ยงตนเป็นบุตรบุญธรรม จึงเลี่ยงบอกทางไปเมืองบาดาลให้หนุมานทราบเป็นความนัยให้หนุมานนึกเดาเอา หนุมานจึงตามไปถึงเมืองบาดาลพบนางพิรากวนออกมาตักน้ำตามคำสั่งของไมยราพ จึงขอให้นางพิรากวนพาเข้าเมืองบาดาลโดยการแปลงเป็นใยบัวติดสใบนางเข้าไป หนุมานค้นหาพระรามจนพบแล้วร่ายมนต์สะกดยักษ์ที่อยู่เวรยามให้หลับหมดพาพระรามออกมาจากเมืองบาดาลและไปฝากเทวดาที่เขาสุรกานต์ให้ช่วยดูแลพระราม ส่วนตนเองก็ย้อนกลับไปสู้กับไมยราพ และฆ่าไมยราพตายในที่สุ

นิราศภูเขาทอง

 นิราศภูเขาทอง



                 นิราศภูเขาทองเป็นวรรณคดีประเภทนิราศ ได้รับการยกย่องว่าเป็นนิราศเรื่องที่ดีที่สุดของสุนทรภู่ (พ.ศ. 2329 - 2398) ท่าน แต่งนิราศเรื่องนี้จากการเดินทางไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทอง ที่กรุงเก่า (จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน) เมื่อเดือนสิบเอ็ด ปีชวด (พ.ศ. 2371) ขณะบวชเป็นพระภิกษุ
ลักษณะคำประพันธ์

                นิราศภูเขาทองแต่งด้วยกลอนแปด มีความยาวเพียง 89 คำ กลอนเท่านั้น แต่มีความไพเราะ และเรียบง่าย ตามแบบฉบับของสุนทรภู่ ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย บรรยายความรู้สึกขณะเดียวกันก็เล่าถึงสภาพของเส้นทางที่กำลังเดินทางไปด้วย ท่านมักจะเปรียบเทียบชีวิตและโชคชะตาของตนกับธรรมชาติรอบข้างที่ตนได้เดิน ทางผ่านไป มีหลายบทที่เป็นที่รู้จักและท่องจำกันได้
การเดินทางในนิราศ

                สุนทร ภู่ล่องเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาไปกับลูกชายชื่อหนูพัด ผ่านวัดประโคน บางยี่ขัน ถึงบางพลัด ผ่านตลาดแก้วตลาดขวัญในเขตจังหวัดนนทบุรี จากนั้นก็ผ่านเกาะเกร็ด ซึ่งเป็นย่านชาวมอญ เข้าสู่จังหวัดปทุมธานี หรือเมืองสามโคก แล้วเข้าเขตอยุธยา จอดเรือที่ท่าวัดพระเมรุ ค้างคืนในเรือ มีโจรแอบจะมาขโมยของในเรือ แต่ไหวตัวทัน รุ่งเช้าเป็นวันพระ ลงจากเรือเดินทางไปที่เจดีย์ภูเขาทอง ซึ่งเป็นเจดีย์ร้าง เก็บพระบรมธาตุมาไว้ในขวดแก้วตั้งใจจะนำไปนมัสการที่กรุงเทพฯ แต่เมื่อตื่นมาก็ไม่พบพระธาตุ จึงได้เดินทางกลับ
คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์


คุณค่าทางวรรณศิลป์ในกลอนนิราศภูเขาทอง มีการเลือกใช้คำดีเด่นต่างๆ ดังนี้
1.       สัมผัสสระ คือ คำที่ใช้สระตัวเดียวกัน

2.       สัมผัสอักษร คือ คำที่มีอักษรคล้องจองกัน

3.       การ ซ้ำเสียง คือ การสัมผัสอักษรอย่างหนึ่ง นับเป็นการเล่นคำที่ทำให้เกิด เสียงไพเราะ การซ้ำเสียงจะต้องเลือกคำที่ให้จินตภาพแก่ผู้อ่านอย่างแจ่มชัดด้วย

4.       การใช้กวีโวหาร คือ นิราศภูเขาทองมีภาพพจน์ลักษณะต่างๆ ที่กวีเลือกใช้ ทำให้ผู้อ่านได้เข้าถึงความคิด ความรู้สึกของกวี

5.       ภาพพจน์อุปมา คือโวหารที่เปรียบเทียบของสองสิ่งว่าเหมือนกัน มักใช้คำว่า เหมือน คล้าย ดุจ ดูราว ราวกับ

6.       ภาพ พจน์กล่าวเกินจริง คือ การที่กวีอาจกล่าวมากหรือน้อยกว่าความเป็นจริง เพื่อสื่อให้เกิดความเข้าใจและมองเห็นภาพในความคิดคำนึงได้ดีขึ้น

7.       การเลียนเสียง คือ กวีทำให้เสียงที่ได้ยินมาบรรยายให้เกิด มโนภาพและความไพเราะน่าฟังยิ่งขึ้น

8.       การเล่นคำ คือ การใช้ถ้อยคำคำเดียวในความหมายต่างกันเพื่อให้ การพรรณนาไพเราะน่าอ่าน และมีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ลิลิตตะเลงพ่าย

ลิลิตตะเลงพ่าย



ผู้แต่ง  :  สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส

ลักษณะคำประพันธ์
           เรื่องลิลิตตะเลงพ่าย แต่งด้วยลิลิตสุภาพ ซึ่งประกอบด้วยร่ายสุภาพ โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ และโคลงสี่สุภาพ แต่งสลับกันไป จำนวน ๔๓๙ บท  โดยได้แบบอย่างการแต่งมาจากลิลิตยวนพ่าย ที่แต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น  ลิลิตเปรียบได้กับงานเขียนมหากาฬ จัดเป็นวรรณคดีประเภทเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์
ลักษณะการแต่งลิลิต
           ลิลิต คือ คำประพันธ์ชั้นสูง ที่ต้องใช้ถ้อยคำ สำนวนโวหารทั้งของไทย และที่ได้จากต่างประเทศ การแต่งลิลิตจะประกอบด้วยร่าย และโคลง มี ๒ ประเภท
                ๑. ลิลิตสุภาพ แต่งด้วยร่ายสุภาพ และโคลงสุภาพ
                ๒. ลิลิตโบราณ แต่งด้วยร่ายดั้น และโครงดั้น 
           ลักษณะบังคับของร่ายสุภาพ ร่ายสุภาพบทหนึ่งมีตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไป และตอนท้ายต้องจบด้วยโคลงสองสุภาพ ร่ายสุภาพแต่ละวรรคกำหนดให้มี ๕ คำ สำหรับสัมผัสบังคับของร่ายสุภาพ กำหนดให้คำสุดท้ายของวรรคหน้าส่ง สัมผัสไปยังคำที่ ๑ หรือที่ ๒ หรือที่ ๓ เพียงดำใดคำหนึ่งในวรรคถัดไป การส่งสัมผัสเป็นไปเช่นนี้จนกระทั่งจบด้วยโคลงสองสุภาพ ส่วนสัมผัสในซึ่งเป็นสัมผัสที่ไม่บังคับในร่ายสุภาพใช้ไดทั้งสัมผัสพยัญชนะและสัมผัสสระ แต่นิยมสัมผัสพยัญชนะมากกว่า

ลักษณะบังคับของโคลงสองสุภาพ
          โคลงสองสุภาพบทหนึ่งมี ๓ วรรค ๆ หนึ่งมี ๕ คำ ยกเว้นวรรคสุดท้ายมีเพียง ๔ คำ ในตอนท้ายมีคำสร้อยได้ ๒ คำ สัมผัสของโคลงสองสุภาพมีเพียงแห่งเดียว คือคำสุดท้ายของวรรคแรกส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรคที่ ๒
  ตัวอย่างโคลงสองสุภาพ...............
  พระฟังความลูกท้าว ลาเสด็จศึกด้าว

  ดั่งเบื้องบรรหาร 

ลักษณะบังคับโคลงสามสุภาพ
           โคลงสามสุภาพบทหนึ่งมี ๔ วรรค ๆ ละ ๕ คำ ยกเว้นวรรคสุดท้ายซึ่งมี  คำ และมีคำสร้อยตอนท้ายอีก ๒ คำ 
สัมผัสโคลงสามสุภาพกำหนดให้คำสุดท้ายของวรรคแรกส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๓ ของวรรคที่ และคำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรคที่ ๓ 


  ตัวอย่างโคลงสามสุภาพ...........
  ล่วงลุด่านเจดีย์ สามองค์มีแห่งหั้น
  แดนต่อแดนกันนั้น เพื่อรู้ราวทาง 

ลักษณะบังคับของโคลงสี่สุภาพ  
           โคลงสี่สุภาพบทหนึ่งมี ๔ บาท แต่ละบาทประกอบด้วย ๒ วรรค คือ วรรคหน้า ๕ คำ วรรคหลัง ๒ คำ ยกเว้นบาทที่ ๔ ที่มีวรรคหลัง ๔ คำ นอกจากนี้ในบาทที่ ๑ และบาทที่ ๓ อาจมีสร้อยคำได้อีกบาทละ๒ คำ โคลงสี่สุภาพบังคับคำเอก ๗ คำ คำโท ๔ คำ โดยถือรูปวรรณยุกต์เป็นเกณฑ์ และคำเอกอาจใช้คำตายแทนได้ สัมผัสโคลงสี่สุภาพได้แก่ คำสุดท้ายของบาทที่ (ไม่นับคำสร้อย) ส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๕ ของบาทที่ ๒ และบาทที่ ๓ คำสุดท้ายของบาทที่ ๒ ส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๕ ของบาทที่ ๔ ส่วนสัมผัสในของโคลงสี่สุภาพนิยมสัมผัสอักษร
  ตัวอย่างโคลงสี่สุภาพ........
  กระเต็นกระตั้วตื่น แตกคน
  ยูงย่องยอดยูงยล โยกย้าย
  นกเปล้านกปลีปน ปลอมแปลก กันนา
  คล่ำคล่ำคลิ้งโคลงคล้าย คู่เคล้าคลอเคลีย

จุดมุ่งหมายในการแต่ง
 ๑.  เพื่องานพระราชพิธีฉลองตึกวัดพระเชตุพนฯ ในรัชกาล  พระบาทสมเด็จพระเจ้านั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
 
๒.  เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
 
๓.  เพื่อผู้นิพนธ์จะได้อานิสงค์บรรลุนิพพาน

ความหมายของชื่อเรื่อง
          ตะเลง แปลว่า มอญ  พ่าย แปลว่า แพ้ รวมความหมายว่า มอญแพ้  แต่ในที่นี้ หมายถึง รวมพม่าด้วย เพราะเมื่อพม่าได้ครอบครองดินแดนและยึดเมืองหลวงของมอญ คือ กรุงหงสาวดี เป็นเมืองหลวงของตน พระเจ้าแผ่นดินจึงเป็นพระเจ้าแผ่นดินมอญด้วย และทหารที่เกณฑ์มารบก็มีทหารมอญปะปนมาด้วยมากมาย เราจึงเรียกพม่าและมอญรวมๆไปว่า "ตะเลง"

เนื้อเรื่องย่อ
(เหตุการณ์ทางกรุงหงสาวดี )
           
ฝ่ายพระมหาอุปราชาได้ทรงหาปรึกษากันว่า พระมหาธรรมราชาทรงสวรรคต แล้วขณะนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะยกทัพไปตีเมือง อยุธยา เพราะ ช่วงเวลานี้อาจเกิดการแย่งชิงราชสมบัติ พระเจ้านันทบุเรงก็ทรงมีพระราชดำริให้พระมหาอุปราชาทรงออกไปรบ แล้วโหนก็ทำนายว่าพระมหาอุปราชาจะถึงฆาต พระมหาอุปราชาจึงหวาดกลัวกับคำทำนาย พระเจ้านันทบุเรง จึงประชดว่า ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรไม่เห็นต้องออกคำสั่งให้ไปออกรบ สมเด็จพระนเรศวรทรงทำด้วยความเต็มใจ สมกับเป็นลูกของนักรบ พระมหาอุปราชาทรงฟังจบ ก็ทรงกลัวพระราชบิดาโกรธ จึงจัดทหาร 4 เหล่าเดินทางเพื่อจะออกรบเพื่อเผด็จศึกเมืองอยุธยา แล้วทรงมีพระราชโองการป่าวประกาศไปทั่วเมืองรอบๆ ให้เตรียมทัพสำหรับออกรบ ต่างก็ตกแต่งช้าง ม้า เตรียมเสบียงให้พร้อม ให้สมกับทัพหลวงและศึกอันยิ่งใหญ่นี้ เมื่อถึงเวลาเช้าตรู่ ก็ทรงเสด็จไปพบพระสนมด้วยสีหน้า เศร้าหมอง เพื่อล่ำลานางอันเป็นที่รัก ด้วยความจำใจที่ต้อง ทำการศึกยิ่งใหญ่ครั้งนี้

(เจ้ากรุงหงสาวดีประทานโอวาท )           พระเจ้ากรุงหงสาวดีประทานโอวาทแก่พระมหาอุปราชา โดยกล่าวว่า สงครามไม่มีอะไรมากมาย อย่าทำตามใจตนเอง ให้พินิจพิจารณาศึกสงครามให้อย่างถี่ถ้วน แล้วก็บอกถึง เคล็ดลับในการทำศึกทั้ง 8 ข้อ ที่โบราณสอนไว้ว่า
. หมั่นเอาใจทหารให้มีกำลังใจอยู่เสมอ
. อย่าเกียจคร้าน
. อย่าโง่เขลา
. ควรรู้กำลังข้าศึก
. มีความรู้เจนชำนาญ
. รู้ตำราการตั้งค่าย
. ให้รู้จักมอบรางวัลให้กับคนเก่ง
. อย่าเกียจคร้านในการทำศึก
แล้วขอให้ลูกจงจำคำที่พ่อสอนไว้ ขอให้พระจงคุ้มครองเจ้าให้ชนะศึกในครั้งนี้

( พระมหาอุปราชารำพันถึงนาง )          พระมหาอุปราชารำพันถึงนางอันเป็นที่รักว่า พระองค์มาคนเดียวรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย เศร้าสร้อยมาก ดูดอกไม้เบิกบานใจก็ทำให้คิดถึงนางอันเป็นที่รัก เห็นต้นสลัดไดก็ทำให้พระองค์คิดว่า ทำไมตัวเราจึงต้องทิ้งพระสนมไว้เพื่อมาทำการศึกคิดถึงต้นสละก็คล้ายกับการสละพระสนม เมื่อนึกถึงต้นระกำก็ช้ำใจ พอเห็นดอกสายหยุดกลิ่นของดอกสายหยุดก็หายไปแต่กี่คืนกี่วันไม่สามารถหยุดความคิดถึงนางอันเป็นที่รักได้ ความรักของพระมหาอุปราชาไม่เคยหายยังคงคิดถึงพระสนมอยู่เสมอ

(ลางร้ายของพระมหาอุปราชา )
           พระองค์ทรงฝืนใจขับช้างมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงอำเภอ พนมทวน ก็เกิดเหตุประหลาดให้ทราบ คือ เกิดหมอกทำให้ท้องฟ้ามืดมิดมีลม เวรัมภา พัดคลุมทำให้ฉัตรบนหลังช้างหักตกลงมา พระมหาอุปราชาจึงตรัสให้ โหรมาทำนายถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ โหรไม่กล้าทูลบอกความจริงแก่พระมาหาอุปราชาเพราะเกรงกลัวโทษถ้าหากตนเองพูดไม่ถูกพระทัย จึงทูลให้ทราบแต่เรื่องที่ดีๆ โดยกล่าวว่าเหตุการณ์นี้ถ้าเกิดตอนเช้าไม่ดี แต่ถ้าเกิดตอนเย็นจะเป็นลางดี ขออย่าให้พระองค์ทรงเป็นกังวลไปเลย จะมีผลกระทบต่อการทำศึกเสียเปล่าๆ

( พระมหาอุปราชารำพึงถึงพระบิดา )
          เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้พระมหาอุปราชาก็ทรงคิดถึงพระราชบิดา ( พระเจ้านันท-บุเรง ) แล้วคร่ำครวญว่าถ้าหากพระราชบิดาสูญเสียตนเองไปก็เหมือนกับการถูกตัดแขน ตัดขาไป ข้างหนึ่ง จะทำให้พระราชบิดาไม่มีพระองค์คอยช่วยรบกับบุเรงนอง พระองค์ทรงเป็นกังวลว่าตนเองจะทำการศึกครั้งนี้ไม่สำเร็จ พระองค์ก็ทรงมีพระพรรษามากแล้ว สงครามคราวนี้ยิ่งใหญ่มาก ถ้าหากพระองค์ทรงสวรรคต ใครจะมารับร่างของพระองค์ไปให้พระราชบิดา ร่างของพระองค์ก็คงจะถูกทิ้งอยู่ในสนามรบ อยู่บ้านเมืองก็คงไม่มีใครมาเป็นคู่คิด จะทำการอันใดก็คงจะข้องใจไปหมด และพระมหาอุปราชาก็ทรงกลัวว่าจะไม่ได้ตอบแทนพระคุณอันใหญ่หลวงราวกับแผ่นดิน ที่ได้เลี้ยงดูมา

( พระสุบินและพระนิมิตของสมเด็จพระนเรศวร )         เทวดาบันดาลให้สมเด็จพระนเรศวรทรงพระสุบิน ( ฝัน ) เห็นกระแสน้ำไหลลงมาจากทิศตะวันตก ( พม่า ) เมื่อมองไปทางใดก็ทรงเห็นแต่น้ำ เมื่อลุยน้ำก็เจอกับจระเข้ตัวใหญ่แล้วทรงเข้าปะทะต่อสู้กันจนน้ำในแม่น้ำกระจัดกระจาย พระองค์ทรงใช้พระแสงโดดเข้าฟันจระเข้  กระทั่งจระเข้ตาย น้ำจึงเหือดแห้งไป เมื่อพระองค์ตื่นก็ทรงดีใจมากที่สามารถชนะศัตรูได้ จึงเรียกโหรมาทำนาย เมื่อโหรได้ฟังพระนเรศวรจบจึ่งได้กล่าวว่า เป็นความฝันแบบเทพสังหรณ์ คือ เทวดาดลใจให้ฝันเป็นนัยๆ การที่มีแม่น้ำนองมาเต็มป่า เปรียบได้ดั่งกองทัพของพม่า ซึ่งการทำศึกอาจจะต้องทำยุทธหัตถีด้วย แล้วการที่สมเด็จพระนเรศวร ทรงฟันจระเข้ด้วยมีดคอง้าว เปรียบได้ดั่ง ศัตรูต้องสิ้นชีวิตลงด้วยน้ำพระหัตถ์ของพระองค์เอง ( มือของพระองค์เอง ) และพระองค์ก็จะสามารถเอาชนะข้าศึกได้ ดั่งที่ทรงพระสุบิน สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสให้เตรียมยกทัพ ให้พร้อมทั้งกำลังพล และ เสบียงทั้งหลาย ในขณะที่รอการตั้งขบวนยกทัพเพื่อศึกครั้งยิ่งใหญ่นี้ก็ได้เกิดนิมิตหมายอันดีกับสมเด็จพระนเรศวรอีกครั้ง เมื่อพบพระบรมสารีริกธาตุลอยมาวนรอบกองทัพ โดยเป็นลักษณะ วนทางขวาเมื่อวานรอบๆแล้วก็ทรงหายไป

(ช้างทรงสมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถฝ่าเข้าไปในกองทัพข้าศึก )
        สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงสั่งทหารให้เคลื่อนพลตามเกล็ดนาค มีทหารเป็นจำนวนมาก อยู่ล้อมรอบ  ส่วน เจ้าพระยาไชยานุภาพช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเจ้าพระยาปราบไตรจักร  ช้างทรงของพระเอกาทศรถ เมื่อได้ยินเสียงฆ้องกลอง ดัง ก็เกิดความตกใจ วิ่งออกจากกองทัพ  เข้าสู่ฝ่ายของศัตรู ทำให้นายทหารทั้งหลายไม่สามารถวิ่งตามทันได้ และทำให้ สมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถ เข้ามาอยู่ในวงล้อมของข้าศึก  พม่าทำกลลวงให้พระนเรศวรสับสนหาพระมหาอุปราชาไม่พบ ในที่สุด สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นช้างเชือกหนึ่งอยู่ใต้ต้นข่อย มีทหารแวดล้อมมากมาย จึงทรงคะเนว่าผู้ที่อยู่บนหลังช้าง คือ พระมหาอุปราชา

( ยุทธหัตถีและชัยชนะของไทย )
          สมเด็จพระนเรศวร ทรงเชิญพระมหาอุปราชาออกกระทำยุทธหัตถี โดยใช้วาทศิลป์ที่ไพเราะ  ดั่งคำกลอนนี้

  พระพี่พระผู้ผ่าน ภพอุต-ดมเอย
  ไป่ชอบเชษฐ์ยืนหยุด   ร่มไม้
  เชิญราชร่วมคชยุทธ์ เผยอเกียรติ ไว้แฮ
  สืบกว่าสองเราไสร้ สุดสิ้นฤามี
และสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงฟันพระมหาอุปราชาขาดคาคอช้าง ส่วนพระเอกาทศรถทรงชนช้างกับมางจาชโร พระพี่เลี้ยงของพระมหาอุปราชา และฟันมางจาชโรตายเช่นกัน ศึกครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวรทรงเสียควาญช้าง และพระเอกาทศรถทรงเสียกลางช้าง หลังจากนั้นกองทัพไทยตามมาถึง และเข้าสู้รบกับพม่าจนพม่าแตกพ่ายไป
  สมเด็จพระนเรศวรโปรดฯให้สร้างสถูปครอบพระศพของระมหาอุปราชา ณ ตำบลตระพังตรุ สุพรรณบุรี แล้วทรงปูนบำเหน็จให้แก่ เจ้ารามราฆพ กลางช้างของพระองค์  ขุนศรีคชคง ควาญช้างของพระเอกาทศรถ ส่วนนายมหานุภาพและหมื่นภักดีศวร ควาญช้างและกลางช้างที่ตายในสนามรบ ทรงพระราชทานบำเหน็จบำนาญทรัพย์สินและสำรดแก่ ภรรยาและบุตรของทั้งสองคน  ส่วนแม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จไม่ทัน รับสั่งให้ประหารตามกฎพระอัยการศึก

(  สมเด็จพระวันรัตสดุดีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช )
          สมเด็จพระวันรัต วัดป่าแก้ว ทรงนำคณะสงฆ์ ๒๕ รูป เข้าเฝ้าสมเด็จพระนเรศวร เพื่อทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่แม่ทัพนายกอง โดยสมเด็จพระวันรัตกราบทูลเปรียบเทียบว่าการที่พระนเรศวรมหาราชทรงชนะศึกในครั้งนี้ ก็เหมือนกับ การที่พระพุทธเจ้าทรงชนะมารทั้งหลาย จึงทูลขอให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชพระราชทานโทษให้แก่นายทหารที่ตามไปไม่ทัน สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระราชทานอภัยโทษแต่ต้องให้ทำงานแก้ตัว โดยให้ทัพเจ้าพระยาพระคลังไปตีเมืองทวาย และ ทัพเจ้าพระยาจักรีไปตีเมืองมะริดและตะนาวศรี

คุณธรรมที่ได้รับจากเรื่องลิลิตตะเลงพ่าย
๑. ความรอบคอบไม่ประมาท
          ในเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายนี้เราจะเห็นคุณธรรมของพระนเรศวรได้อย่างเด่นชัดและสิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถมากที่สุดคือ  ความรอบคอบ ไม่ประมาท
ดั่งโคลงสี่สุภาพตอนหนึ่งกล่าวว่า

  ๖๒(๑๖๔) พระห่วงแต่ศึกเสี้ยน อัสดง
  เกรงกระลับก่อรงค์ รั่วหล้า
  คือใครจักคุมคง ควรคู่   เข็ญแฮ
  อาจประกันกรุงถ้า ทัพข้อยคืนถึง

หลังจากที่พม่ายกกองทัพเข้ามาพระองค์ก็ทรงสั่งให้พ่ายพลทหารไปทำลายสะพานเพื่อว่าเมื่อฝ่ายไทยชนะศึกสงคราม  พ่ายพลทหารของฝ่ายพม่าก็จะตกเป็นเชลยของไทยทั้งหมด  นั่นแสดงให้เราเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีทัศนคติที่กว้างไกล  ซึ่งมีผลมาจากความรอบคอบไม่ประมาท
๒. การเป็นคนรู้จักการวางแผน
        จากการที่เราได้รับการศึกษาเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายเราจะเห็นได้ชัดเจนว่าในช่วงตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเปลี่ยนแผนการรบเป็นรับศึกพม่าแทนไปตีเขมร  พระองค์ได้ทรงจัดการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอย่างไม่รอช้า  ทรงแต่งตั้งให้พระยาศรีไสยณรงค์เป็นแม่ทัพหน้าและพระราชฤทธานนท์เป็นปลัดทัพหน้าตามด้วยแผนการอื่นๆอีกมากมายเพื่อทำการรับมือ  และพร้อมที่จะต่อสู้กับข้าศึกศัตรูทางฝ่ายพม่า  
          ยกตัวอย่างโคลงสี่สุภาพที่แสดงให้เราเห็นถึงการรู้จักการวางแผน ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

  ๖๓(๑๖๕) พระพึงพิเคราะห์ผู้ ภักดี  ท่านนา
  คือพระยาจักรี กาจแกล้ว
  พระตรัสแด่มนตรี มอบมิ่ง  เมืองเฮย
  กูไกลกรุงแก้ว เกลือกช้าคลาคืน
         เมื่อเราเห็นถึงคุณธรรมทางด้านการวางแผนแล้วเราก็ควรเอาเยี่ยงอย่างเพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตให้เป็นไปอย่างมีระเบียบ  มีแบบแผน  ซึ่งจากคุณธรรมข้อนี้ก็อาจช่วยเปลี่ยนแปลงให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน  ให้กลายเป็นบุคคลที่มีคุณภาพชีวิตทางด้านการวางแผนในการดำเนินชีวิตก็เป็นได้ถ้าเรารู้จักการวางแผนให้กับตัวเราเอง
๓. การเป็นคนรู้จกความกตัญญูกตเวที
          จากบทการรำพึงของพระมหาอุปราชาถึงพระราชบิดานั้น  แสดงให้เราเห็นอย่างเด่นชัดเลยทีเดียวว่าพระมหาอุปราชาทรงมีความห่วงใย  อาทร  ถึงพระราชบิดาในระหว่างที่ทรงออกรบ  ซึ่งแสดงให้เราเห็นถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อพระราชบิดา โดยพระองค์ได้ทรงถ่ายทออดความนึกคิด  และรำพึงกับตัวเอง  
ดั่งโคลงสี่สุภาพที่กล่าวไว้ว่า
  ๕๑(๑๕๒) ณรงค์นเรศด้าว ดัสกร
  ใครจักอาจออกรอน รบสู้
  เสียดายแผ่นดินมอญ มอด  ม้วยแฮ
  เหตูบ่มีมือผู้ อื่นต้านทานเข็ญ
ซึ่งเมื่อแปลจะมีความหมายว่า  เมื่อยามที่สงครามขึ้นใครเล่าจะออกไปรบแทนท่านพ่อ  จากโคลงนี้ไม่ได้แสดงให้เราเห็นถึงความกตัญญูที่มีต่อพระราชบิดาของพระมหาอุปราชาเพียงอย่างเดียว  แต่ยังมีความกตัญญู  ความจงรัก ภักดี  ต่อชาติบ้านเมืองอีก

๔. การเป็นคนช่างสังเกตและมีไหวพริบ
          สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถทางด้านการมีความสติปัญญาและมีไหวพริบเป็นเลิศ  ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะทรงมีคุณธรรมทางด้านการเป็นคนช่างสังเกตและมีไหวพริบ  ด้วยเหตุนี้ทำให้พระองค์ทรงสามารถแก้ไขสถานการณ์อันคับขันในช่วงที่ตกอยู่ในวงล้อมของพม่าได้  ซึ่งฉากที่แสดงให้เราเห็นว่า พระองค์ทรงมีคุณธรรมทางด้านนี้คือ
๑๓๐(๒๙๖) โดยแขวงขวาทิศท้าว ทฤษฎี  แลนา
บัด ธ เห็นขุนกรี หนึ่งไสร้
เถลิงฉัตรจัตุรพิรีย์ เรียงคั่ง  ขูเฮย
หนแห่งฉายาไม้ ข่อยชี้เฌอนาม
  ๑๓๑(๒๙๗) ปิ่นสยามยลแท้ท่าน คะเนนึก  อยู่นา
  ถวิลว่าขุนศึกสำ- นักโน้น
  ทวยทับเทียบพันลึก แลหลาก  หลายแฮ
  ครบเครื่องอุปโภคโพ้น เพ่งเพี้ยงพิศวง

          สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้วิธีการสังเกตหาฉัตร5ชั้นของพระมหาอุปราชา  ทำให้พระองค์ทรงทราบว่าใครเป็นพระมหาอุปราชาทั้งๆที่มีทหารฝ่ายข้าศึกร่ายล้อมพระองค์จนรอบ  แต่ด้วยความมีไหวพริบพระองค์จึงตรัสท้ารบเสียก่อนเพราะถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัสท้ารบเสียก่อนพระองค์อาจทรงถูกฝ่ายข้าศึกรุมโจมตีก็เป็นได้   ดังนั้นเมื่อเราเห็นคุณธรรมของพระองค์ด้านนี้แล้วก็ควรยึดถือและนำไปปฏิบัติตามเพราะสิ่งดีๆเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลดีต่อตนเอง  และต่อประเทศชาติได้
๕. ความซื่อสัตย์
          จากเนื้อเรื่องนี้เราจะเห็นได้ว่าบรรดาขุนกรีและทหารมากมายทั้งฝ่ายพม่าและฝ่ายไทยมีความซื่อสัตย์และความจงรักภักดี  ต่อประเทศชาติของตนมากเพราะจากการที่ศึกษาเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายเรายังไม่เห็นเลยว่าบรรดาทหารฝ่ายใดจะทรยศต่อชาติบ้านเมืองของตน  ซึ่งก็แสดงให้เราเห็นว่าความซื่อสัตย์ในเราองเล็กๆน้อยๆก็ทำให้เราสามารถซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ๆได้ซึ่งจากเรื่องนี้ความซื่อสัตย์เล็กๆน้อยๆของบรรดาทหารส่งผลให้ชาติบ้านเมืองเกิดความเป็นปึกแผ่นมั่นคงได้  เราก็เช่นเดียวกัน....ถ้าเรารู้จักมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองดั่งเช่นบรรดาขุนกรี ทหารก็อาจนำมาซึ่งความเจริญและความมั่นคงในชีวิตก็เป็นได้ซึ่งสิ่งนี้อาจส่งผลประโยชน์ต่อตนเอง  ต่อครอบครัวและชาติบ้านเมือง
๖. การมีวาทศิลป์ในการพูด
           จากเรื่องนี้มีบุคคลถึงสองท่านด้วยกันที่แสดงให้เราเห็น ถึงพระปรีชาสามารถทางด้านการมีวาทศิลป์ในการพูด  ท่านแรกคือ  สมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ในโคลงสี่สุภาพที่ว่า
๑๗๗(๓๐๓) พระพี่พระผู้ผ่าน ภพอุต-ดมเอย
  ไป่ชอบเชษฐ์ยืนหยุด ร่มไม้
  เชิญการร่วมคชยุทธ์ เผยอเกียรติ  ไว้แฮ
  สืบว่าสองเราไซร้ สุดสิ้นฤามี
         เราจะเห็นว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงใช้วาจาที่ไพเราะมีความสุภาพน่าฟังต่อ พระมหาอุปราชาซึ่งเป็นพี่เมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประทับอยู่ทางฝ่ายพม่า
          ท่านที่สองคือ  สมเด็จพระวันรัต  เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงมาขอ พระราชทานอภัยโทษจากพระนเรศวร  ให้กับบรรดาทหารที่ ตามเสด็จพระนเรศวรในการรบไม่ทัน  ซึ่งอยู่ในโคลงสี่สุภาพที่ว่า
  ๑๗๗(๓๕๗) พระตรีโลกนาถแผ้ว เผด็จมาร
  เฉกพระราชสมภาร พี่น้อง
  เสด็จไร้พิริยะราญ อรินาศ  ลงนา
  เสนอพระยศยินก้อง เกียรติก้องทุกภาย
          การมีวาทศิลป์ในการพูดของสมเด็จพระวันรัตครั้งนี้ทำให้บรรดาขุนกรี ทหารได้รับการพ้นโทษดังนั้นจากคุณธรรมข้อนี้ทำให้เราได้ข้อคิดที่ว่า  การพูดดีเป็นศรีแก่ตัวเมื่อเราทราบเช่นนี้แล้วเราทุกคนก่อนที่จะพูดอะไรต้องคิดและไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูด

ข้อคิด
  ๑.  ลิลิตตะเลงพ่ายสะท้อนให้เห็นความรักชาติ ความเสียสละ ความกล้าหาญ ของบรรพบุรุษ ซึ่งคนไทยควรภาคภูมิใจ
  
 ๒.  แผ่นดินไทยต้องผ่านการทำศึกสงครามอย่างมากมายกว่าที่ จะมารวมกันเป็นปึกแผ่นอย่างปัจจุบันนี้
  
 ๓.  พระราชภารกิจของกษัตริย์ไทยในสมัยก่อน คือการปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขและรบเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย

ตัวละครฝ่ายไทย
           สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือพระองค์ดำ พระมหาธรรมราชาเป็นพระบรมชนกนาถ ทรงพระราชสมภพเมื่อปี เถาะ พ.ศ.๒๐๙๘ ณ พระราชวังสนามจันทร์เมืองพิษณุโลก ทรงมีพระพี่นาง ๑ องค์พระนามว่า "พระสุพรรณเทวี" (สุวรรณกัลยานี) และพระอนุชา ๑ องค์ พระนามว่า "พระเอกาทศรถ" (พระองค์ขาว) ทรงเสด็จไปประทับที่กรุงหงสาวดีตั้งแต่พระชนมายุได้ ๙ พรรษา และกลับมาประทับที่ไทยเมื่อพระชนมายุได้ ๑๕ พรรษา ได้ครองเมืองพิษณุโลก และได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา เมื่อ พ.ศ. ๒๑๔๘ มีพระนามว่า สมเด็จพระนเรศวร หรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒ กษัตริย์องค์ที่ ๑๘ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เก่งกล้าสามารถ เป็นผู้ประกาศเอกราชหลังจากที่เสียไปให้กับพม่าถึง ๑๕ ปี รวมทั้งขยายราชอาณาจักรให้กว้างใหญ่ ทำสงครามกับพม่า จนพม่าหวาดกลัวไม่กล้ามารบกับไทยอีกเลยเป็นเวลาร้อยกว่าปี ทรงเสด็จสวรรคตในขณะที่เสด็จไปทำศึกกับกรุงอังวะ แต่เกิดประชวรเป็นระลอกที่พระพักตร์ แล้วกลายเป็นบาดทะพิษ ประชวรได้ ๓ วัน จึงเสด็จสวรรคต วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๑๔๘ พระชนมายุได้ ๕๐ พรรษา ครองราชย์ได้ ๑๕ 
            สมเด็จพระเอกาทศรถ หรือพระองค์ขาว อนุชาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระราชสมภพที่เมืองพิษณุโลก ในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร ทรงดำรงตำแหน่งอุปราช ครองเมืองพิษณุโลก แต่มีเกียรติยศเสมอพระเจ้าแผ่นดิน ตลอดรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร ทรงออกศึกทำสงครามร่วมกับสมเด็จพระนเรศวรตลอด และทรงครองราชย์ต่อจากสมเด็จพระนเรศวร พระนามว่าสมเด็จพระเอกาทศรถ หรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๓ มีพระราชโอรสที่ประสูติจากพระอัครมเหสี สององค์คือ เจ้าฟ้าสุทัศน์ และเจ้าฟ้าศรีเสาวภาค และมีพระราชโอรสที่ประสูติจากพระสนม อีกสามองค์คือ พระอินทรราชา พระศรีศิลป์ และพระองค์ทอง สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ.๒๑๕๓ พระชนม์พรรษาได้ ๕๐ พรรษาเศษ ครองราชย์ได้ห้าปี
            พระมหาธรรมราชา สมเด็จพระมหาธรรมราชาหรืออีกพระนามหนึ่งว่า สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๑ เสด็จพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ.๒๐๕๘ พระราชบิดาเป็นเชื้อสายราชวงศ์พระร่วง แห่งกรุงสุโขทัย พระราชมารดาเป็นพระญาติฝ่ายพระราชชนนี สมเด็จพระไชยราชาธิราช แห่งราชวงศ์สุวรรณภูมิ พระองค์ทรงรับราชการเป็นที่ขุนพิเรนทรเทพ เจ้ากรมตำรวจรักษาพระองค์ หลังจากที่เหตุการณ์วุ่นวายในราชสำนักยุติลง และพระเฑียรราชาได้ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๐๙๑ แล้วขุนพิเรนทรเทพ ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชา แล้วได้รับโปรดเกล้าให้ไปครองเมืองพิษณุโลก สำเร็จราชการหัวเมืองฝ่ายเหนือ มีศักดิ์เทียบเท่าพระมหาอุปราช ได้รับพระราชทานพระวิสุทธิกษัตรี พระราชธิดาในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์เป็นพระอัครมเหสี ต่อมามีพระราชโอรสและพระราชธิดาสามพระองค์คือ พระสุพรรณเทวี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ 
            สมเด็จพระวันรัต ดิมชื่อพระมหาเถรคันฉ่อง พระชาวมอญ จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าแก้ว หรือวัดใหญ่ชัยมงคลในปัจจุบัน มีบทบาทครั้งสำคัญ คือ ในคราวที่สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพ ท่านเป็นผู้เกลี้ยกล่อมให้พระยาเกียรติ์ และพระยารามที่พระเจ้าหงสาวดีส่งมาให้ลอบกำจัดพระนเรศวร พระมหาเถรคันฉ่องทราบก่อน จึงนำความกราบทูลพระนเรศวร และเกลี้ยกล่อมให้ พระยาเกียรติ์ และพระยาราม รับสารภาพและเข้าร่วมกับพระนเรศวร วีรกรรมอีกครั้งหนึ่งของท่านคือ การขอพระราชทานอภัยโทษ บรรดาแม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จสมเด็จพระนเรศวรไม่ทัน ต้องโทษประหารชีวิต สมเด็จพระวันรัตได้ขอบิณฑบาต พระราชทานอภัยโทษบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลาย
        พระยาศรีไสยณรงค์ แม่ทัพกองหน้าที่สมเด็จพระนเรศวรตั้งขึ้น มีกำลังพล ๕ หมื่น ยกไปตั้งที่หนองสาหร่าย แต่ไม่สามารถต้านทานทัพพม่าที่มีกำลังถึง ๕ แสนได้ สมเด็จพระนเรศวรจึงมีโองการให้ถอยทัพเพื่อจะตีโอบล้อมจนได้รับชัยชนะในที่สุด หลังจากนั้นพระยาศรีไสยณรงค์ได้ตามทัพพระยาจักรียกทัพไปตีเมืองตะนาวศรี และมริด เพื่อเป็นการไถ่โทษ
              พระราชฤทธานนท์ ปลัดทัพหน้า ที่สมเด็จพระนเรศวรแต่งตั้งให้ไปรบเป็นเพื่อนกับพระยาศรีไสยณรงค์ 
              เจ้าพระยาจักรี รับผิดชอบด้านการพลเรือน และดูแลหัวเมืองทางภาคกลางและภาคเหนือ ถูกอาญาประหารชีวิตในคราวที่สมเด็จพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา แต่พระวันรัตมาขอพระราชทานอภัยโทษ สมเด็จพระนเรศวรพระราชทานอภัยโทษ แล้วรับสั่งให้นำทัพ ๕ หมื่นคน ไปตีเมืองตะนาวศรี และมริด เป็นการไถ่โทษ 
              เจ้าพระยาคลัง รับผิดชอบด้านการต่างประเทศ ถูกอาญาประหารชีวิตเช่นเดียวกับเจ้าพระยาคลัง แต่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ แล้วรับสั่งให้นำทัพ ๕ หมื่นคน ไปตีทวาย เป็นการไถ่โทษ  
              เจ้ารามราฆพ กลางช้างของพระนเรศวร หนึ่งในสี่ทหารที่ตามเสด็จทันในการทำยุทธหัตถี และไม่โดนอาญาประหารชีวิต แถมยังได้รับการปูนบำเหน็จจากสมเด็จพระนเรศวร เพื่อตอบแทนความกล้าหาญ
              ขุนศรีคชคง ควาญช้างของพระเอกาทศรถ แถมยังได้รับการปูนบำเหน็จจากสมเด็จพระนเรศวร เพื่อตอบแทนความกล้าหาญ หนึ่งในสี่ทหารที่ตามเสด็จทันในการทำยุทธหัตถี
              นายมหานุภาพ ควาญช้างของสมเด็จพระนเรศวร ถูกทหารพม่ายิงเสียชีวิตในช่วงที่กระทำยุทธหัตถี และได้รับพระราชทานยศและทรัพย์สิ่งของ ผ้าสำรดแก่บุตรภรรยา เป็นการตอบแทนความชอบ 
             หมื่นภักดีศวร กลางช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถ ถูกทหารพม่ายิงปืนถูกอกเสียชีวิตในช่วงที่กระทำยุทธหัตถี พระราชทานยศและทรัพย์สิ่งของ ผ้าสำรดแก่บุตรภรรยา เป็นการตอบแทนความชอบ  
             หมื่นทิพย์เสนา นายทหารที่สมเด็จพระนเรศวรสั่งให้ไปดูทัพหน้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง และนำตัวหมื่นคนหนึ่งกลับมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระนเรศวร เพื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทัพหน้า และเป็นผู้ส่งข่าวให้ทัพหน้าถอยทัพหลังจากถูกพม่าตีอย่างหนัก
             หมื่นราชามาตย์ นายทหารที่เดินทางไปพร้อมกับหมื่นทิพย์เสนาเพื่อแจ้งข่าวให้ทัพหน้าถอยทัพ  คาดว่าจะเป็นนายทหารที่หมื่นทิพย์เสนานำมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระนเรศวร 
             หลวงญาณโยคโลกทีป โหรผู้ถวายคำพยากรณ์และหาฤกษ์ยามกับสงเด็จพระนเรศวร ในคราวที่พระองค์กำลังจะตัดสินพระทัยทำสงคราม โดยพยากรณ์ว่า พระองค์จะได้จตุรงคโชค คือ โชคดี ๔ ประการ ได้แก่ มีโชคดี , วัน เดือน ปี ในการทำสงครามดี , กำลังทหารเข้มแข็งดี , อาหารอุดมสมบูรณ์ดี และเชิญเสด็จเคลื่อนทัพในยามเช้า วันอาทิตย์ขึ้น ๑๑ ค่ำ ย่ำรุ่ง ๘ นาฬิกา ๓๐ นาที ในเดือนยี่ นับเป็นฤกษ์สิริมงคล
            หลวงมหาวิชัย พราหมณ์ผู้ที่ทำพิธีตัดไม้ข่มนาม ก่อนที่สมเด็จพระนเรศวรจะยกทัพออกรบ และ  กระทำยุทธหัตถีจนได้รับชัยชนะ 

ตัวละครฝ่ายพม่า
              พระเจ้าหงสาวดี หรือนันทบุเรง กษัตริย์พม่า เดิมชื่อมังชัยสิงห์ราช โอรสของบุเรงนอง ดำรงตำแหน่งอุปราชในสมัยบุเรงนอง ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากบุเรงบอง พระราชบิดา ทรงหวังที่จะสร้างความยิ่งใหญ่เหมือนกับพระราชบิดา แต่ก็ทำไม่สำเร็จ สุดท้างยถูกลอบวางยาพิษสิ้นพระชนม์
              พระมหาอุปราชา โอรสของนันทบุเรง ดำรงดำแหน่งอุปราชาในสมัยของนันทบุเรง เดิมชื่อมังสามเกียด หรือมังกะยอชวา เป็นเพื่อนเล่นกันกับพระนเรศวรในสมัยที่พระองค์ประทับอยู่ที่กรุงหงสาวดี ทรงทำงานสนองพระราชบิดาหลายครั้ง โดยเฉพาะราชการสงคราม และได้ถวายงานครั้งสุดท้ายในการยกทัพ ๕ แสนมาตีไทย และสิ้นพระชนม์ในการทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
              พระยาจิดตอง แม่กองการทำสะพานเชือกข้ามแม่น้ำกระเพิน
              สมิงอะคร้าน สมิงเป่อ สมิงซายม่วน กองลาดตระเวนที่พระมหาอุปราชาส่งให้มาหาข่าวของกองทัพไทย ก่อนที่จะตัดสินพระทัยยกกองทัพเข้าปะทะกับไทย
              มางจาชโร พี่เลี้ยงของพระมหาอุปราชา ผู้ที่ชนช้างกับพระเอกาทศรถ และถูกพระเอกาทศรถฟันด้วยพระแสงของ้าวคอขาด
              เจ้าเมืองมล่วน ควาญช้างของพระมหาอุปราชา ผู้ที่สมเด็จพระนเรศวรรับสั่งให้กลับไปแจ้งข่าวการแพ้สงคราม และการสิ้นพระชนม์ของพระมหาอุปราชาแก่พระเจ้าหงสาวดี